การติดตั้ง Python และการสร้างสภาพแวดล้อมการพัฒนา
“อยากทำให้งานสร้างเว็บไซต์ซ้ำๆ เป็นอัตโนมัติจัง...” “คงจะสะดวกดีนะถ้าดึงข้อมูลจากเว็บมาได้อัตโนมัติ...”
ในฐานะเว็บครีเอเตอร์ คุณคงเคยมีความคิดแบบนี้อย่างแน่นอน เครื่องมือทรงพลังที่จะช่วยให้ความปรารถนาของคุณเป็นจริงก็คือภาษาโปรแกรมมิ่ง Python ครับ
ในบทความนี้ เราจะอธิบายขั้นตอนตั้งแต่การติดตั้ง Python ไปจนถึงการสร้างสภาพแวดล้อมการพัฒนาอย่างละเอียด โดยเน้นที่โค้ดที่สามารถคัดลอกและวางได้ เพื่อให้แม้แต่ผู้ที่เพิ่งเริ่มเขียนโปรแกรมก็ไม่ท้อถอย ไม่ต้องกังวลว่าจะ “ดูยากจัง...” แค่ทำตามทีละขั้นตอน ใครๆ ก็สามารถสัมผัสกับความตื่นเต้นที่ได้เห็น Python ทำงานบนคอมพิวเตอร์ของตัวเอง พร้อมกับความรู้สึกที่ว่า “มันทำงานได้!”
มาเถอะครับ มาเริ่มต้นก้าวแรกสู่โลกของ Python ไปด้วยกัน!
ขั้นตอนที่ 1: มาติดตั้ง Python บน PC ของเรากันเถอะ
ก่อนอื่นเลย เราต้องติดตั้ง Python บนคอมพิวเตอร์ของเราเพื่อให้สามารถใช้งานได้ ขั้นตอนจะแตกต่างกันเล็กน้อยขึ้นอยู่กับระบบปฏิบัติการของคุณ (Windows หรือ Mac) ดังนั้นโปรดทำตามขั้นตอนที่เหมาะกับสภาพแวดล้อมของคุณ
สำหรับผู้ใช้ Windows
สำหรับผู้ใช้ Windows วิธีที่ง่ายและแน่นอนที่สุดคือการดาวน์โหลดตัวติดตั้งจากเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของ Python
- เข้าไปที่ หน้าดาวน์โหลดของเว็บไซต์ทางการของ Python
- คลิกที่ปุ่ม “Download Python X.X.X” เพื่อดาวน์โหลดตัวติดตั้ง (ส่วน X.X.X คือหมายเลขเวอร์ชันล่าสุด)
- ดับเบิลคลิกที่ไฟล์ติดตั้งที่ดาวน์โหลดมา (ไฟล์ .exe) เพื่อรัน
- 【จุดที่สำคัญที่สุด!】 ที่หน้าจอแรกของตัวติดตั้ง อย่าลืมติ๊กช่อง “Add Python X.X to PATH” เด็ดขาด! หากลืมขั้นตอนนี้ไป จะทำให้การรันคำสั่งในภายหลังยุ่งยากมาก อย่าลืมเด็ดขาดนะครับ!
- คลิกที่ “Install Now” และรอจนกว่าการติดตั้งจะเสร็จสมบูรณ์
เพื่อตรวจสอบว่าการติดตั้งสำเร็จหรือไม่ ให้เปิด Command Prompt (กด “Windows Key + R” แล้วพิมพ์ “cmd” จากนั้นกด Enter) แล้วลองพิมพ์คำสั่งต่อไปนี้
python --version
หากหมายเลขเวอร์ชันของ Python ที่คุณติดตั้งแสดงขึ้นมาแบบนี้ แสดงว่าการติดตั้งเสร็จสมบูรณ์!
Python 3.12.4
สำหรับผู้ใช้ Mac
Mac รุ่นใหม่ๆ มักจะมี Python ติดตั้งมาให้แล้ว แต่อาจเป็นเวอร์ชันที่ค่อนข้างเก่า (Python 2) ปัจจุบัน Python 3 เป็นเวอร์ชันหลัก ดังนั้นจึงขอแนะนำให้ติดตั้งเวอร์ชันใหม่
หากคุณต้องการตั้งค่าสภาพแวดล้อมการพัฒนาบน Mac การใช้ตัวจัดการแพ็คเกจที่ชื่อว่า Homebrew เป็นวิธีที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพที่สุด หากคุณยังไม่ได้ติดตั้ง Homebrew ให้จัดการให้เรียบร้อยก่อน
เมื่อ Homebrew พร้อมใช้งานแล้ว ให้เปิด Terminal แล้วรันคำสั่งต่อไปนี้
brew install python
Homebrew จะทำการติดตั้ง Python 3 เวอร์ชันล่าสุดให้คุณโดยอัตโนมัติ เมื่อการติดตั้งเสร็จสิ้น ลองตรวจสอบเวอร์ชันดูนะครับ สำหรับ Mac มักจะใช้ชื่อคำสั่งเป็น `python3`
python3 --version
หากหมายเลขเวอร์ชันแสดงขึ้นมาเหมือนกับตอนที่ทำบน Windows แสดงว่าการติดตั้งสำเร็จ!
Python 3.12.4
ขั้นตอนที่ 2: การสร้างสภาพแวดล้อมเสมือน (Virtual Environment)
“สภาพแวดล้อมเสมือน? คืออะไรน่ะ ดูยุ่งยากจัง...” คุณอาจจะรู้สึกแบบนั้น แต่นี่เป็นขั้นตอนที่สำคัญมากที่จะทำให้ชีวิตการเขียน Python ของคุณในอนาคตสะดวกสบายขึ้น
พูดง่ายๆ สภาพแวดล้อมเสมือนก็เหมือนกับ “กล่องเครื่องมือเฉพาะสำหรับแต่ละโปรเจกต์” ครับ ตัวอย่างเช่น สมมติว่าคุณกำลังทำโปรเจกต์สร้างเว็บไซต์ A และโปรเจกต์วิเคราะห์ข้อมูล B ไปพร้อมๆ กัน บ่อยครั้งที่โปรเจกต์ A ต้องการเครื่องมือ (ไลบรารี) เวอร์ชัน 1.0 ในขณะที่โปรเจกต์ B ต้องการเวอร์ชัน 2.0 หากเก็บเครื่องมือเหล่านี้ไว้ที่เดียวกัน อาจเกิดความขัดแย้งของเวอร์ชันและทำให้เกิดข้อผิดพลาดได้
ดังนั้น เราจึงสร้าง “กล่องเครื่องมือสำหรับโปรเจกต์ A” และ “กล่องเครื่องมือสำหรับโปรเจกต์ B” แยกกันสำหรับแต่ละโปรเจกต์ และใส่เฉพาะเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับโปรเจกต์นั้นๆ นี่คือแนวคิดของสภาพแวดล้อมเสมือนครับ วิธีนี้จะช่วยให้คุณสามารถพัฒนาโปรเจกต์ในสภาพแวดล้อมที่สะอาด โดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับโปรเจกต์อื่นๆ
ในที่นี้ เราจะลองสร้างสภาพแวดล้อมเสมือนโดยใช้ฟีเจอร์ `venv` ที่มาพร้อมกับ Python เป็นมาตรฐาน
ขั้นแรก ให้สร้างโฟลเดอร์สำหรับโปรเจกต์ในตำแหน่งที่คุณต้องการ เช่น บนเดสก์ท็อป ในที่นี้เราจะตั้งชื่อว่า `my-python-project` จากนั้นให้เข้าไปยังโฟลเดอร์นั้นผ่านทาง Terminal (หรือ Command Prompt)
1. การสร้างสภาพแวดล้อมเสมือน
ภายในโฟลเดอร์ที่คุณสร้างขึ้น ให้รันคำสั่งต่อไปนี้ `myenv` ที่อยู่ท้ายสุดคือชื่อของสภาพแวดล้อมเสมือน ซึ่งคุณสามารถเปลี่ยนเป็นชื่ออะไรก็ได้ (โดยทั่วไปนิยมใช้ `venv` หรือ `.venv`)
สำหรับ Windows
python -m venv myenv
สำหรับ Mac
python3 -m venv myenv
2. การเปิดใช้งานสภาพแวดล้อมเสมือน (Activate)
สภาพแวดล้อมเสมือนจะยังใช้งานไม่ได้เพียงแค่สร้างขึ้นมา เราต้องประกาศว่า “จากนี้ไปจะใช้กล่องเครื่องมือนี้แล้วนะ!” ซึ่งขั้นตอนนี้เรียกว่าการ Activate
สำหรับ Windows (Command Prompt)
myenv\Scripts\activate
สำหรับ Mac (zsh / bash)
source myenv/bin/activate
เมื่อทำการ Activate สำเร็จ ที่ด้านหน้าของบรรทัดคำสั่งจะปรากฏชื่อของสภาพแวดล้อมเสมือนที่คุณสร้างขึ้น เช่น `(myenv)` นี่เป็นสัญญาณว่าคุณกำลังอยู่ในกล่องเครื่องมือเฉพาะของคุณ เมื่ออยู่ในสถานะนี้ แม้ว่าคุณจะติดตั้งไลบรารีใดๆ ก็ตาม มันจะถูกบันทึกไว้เฉพาะในสภาพแวดล้อมเสมือนนี้เท่านั้น โดยไม่ไปกระทบกับสภาพแวดล้อมหลักของเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณ
เมื่อต้องการออกจากสภาพแวดล้อมเสมือน ก็เพียงแค่รันคำสั่ง `deactivate` ก็จะกลับสู่สภาพแวดล้อมปกติ
ขั้นตอนที่ 3: เตรียมคู่หูที่ดีที่สุด, VS Code
ในการเขียนโค้ด Python เราจำเป็นต้องมีโปรแกรมแก้ไขข้อความ (Text Editor) มีโปรแกรมให้เลือกมากมาย แต่ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในปัจจุบันและถูกใช้งานอย่างแพร่หลายตั้งแต่ผู้เริ่มต้นจนถึงมืออาชีพก็คือ Visual Studio Code (VS Code)
นอกจากจะใช้งานได้ฟรีแล้ว ยังมีฟังก์ชันการทำงานที่สูงมาก และสามารถปรับแต่งให้เข้ากับสไตล์ของคุณได้โดยการเพิ่มส่วนขยาย (Extensions) หากใครยังไม่ได้ติดตั้ง ก็ถือโอกาสนี้ติดตั้งกันเลย
- เข้าไปที่ เว็บไซต์ทางการของ VS Code แล้วดาวน์โหลดและติดตั้งโปรแกรมสำหรับระบบปฏิบัติการของคุณ
- เปิด VS Code ขึ้นมา แล้วคลิกที่ไอคอนรูปสี่เหลี่ยมซ้อนกันทางด้านซ้าย (มุมมองส่วนขยาย)
- ในช่องค้นหา ให้พิมพ์ “Python” และติดตั้งส่วนขยาย Python อย่างเป็นทางการที่พัฒนาโดย Microsoft ซึ่งจะช่วยให้การเขียนโค้ดมีประสิทธิภาพขึ้นอย่างมาก เช่น การเติมโค้ดอัตโนมัติและการตรวจสอบข้อผิดพลาด
เมื่อเตรียม VS Code เรียบร้อยแล้ว ให้เปิดโฟลเดอร์โปรเจกต์ที่เราสร้างไว้ก่อนหน้านี้ (`my-python-project`) ด้วย VS Code (เมนู “File” > “Open Folder...”)
ขั้นตอนที่ 4: โปรแกรม Python แรกของเรา!
เอาล่ะครับ ถึงเวลาเขียนโค้ดที่รอคอยกันแล้ว! เมื่อสภาพแวดล้อมพร้อมแล้ว เรามาลองรันโปรแกรมคลาสสิกอย่าง “Hello, World!” ด้วย Python กัน
ใน Explorer ของ VS Code (รายการไฟล์ทางด้านซ้าย) ให้สร้างไฟล์ใหม่และตั้งชื่อว่า `hello.py` จากนั้นคัดลอกและวางโค้ด 1 บรรทัดต่อไปนี้ลงในไฟล์นั้น
print("สวัสดีชาวโลก Python!")
`print()` คือคำสั่งสำหรับแสดงผลสิ่งที่อยู่ในวงเล็บออกทางหน้าจอ ง่ายมากเลยใช่ไหมครับ
ต่อไป เราจะรันโปรแกรมนี้กัน ให้เลือก “Terminal” > “New Terminal” จากเมนูของ VS Code เพื่อแสดง Terminal ขึ้นมาภายใน VS Code (ในตอนนี้ ให้ตรวจสอบให้แน่ใจว่า Terminal อยู่ในสภาพแวดล้อมเสมือน `(myenv)`)
ใน Terminal ที่ปรากฏขึ้นมา ให้รันคำสั่งต่อไปนี้
python hello.py
เมื่อรันแล้ว ควรจะแสดงผลลัพธ์ดังต่อไปนี้ใน Terminal
สวัสดีชาวโลก Python!
ขอแสดงความยินดีด้วยครับ! 🎉 นี่คือช่วงเวลาที่คุณได้ก้าวแรกในฐานะโปรแกรมเมอร์ Python ประสบการณ์ที่ว่า “โค้ดที่เขียนเองทำงานได้ตามที่ตั้งใจ” นี่แหละคือแรงผลักดันที่สำคัญที่สุดในการเรียนรู้การเขียนโปรแกรม
【ตัวอย่างประยุกต์】มาลองดึงชื่อเรื่องของเว็บไซต์ด้วย Python กัน
แค่โปรแกรม “Hello, World!” อย่างเดียวอาจจะยังไม่เห็นความสุดยอดของ Python เรามาลองดูตัวอย่างที่ใช้งานได้จริงมากขึ้นอีกนิด กับการเริ่มต้นทำ “Web Scraping” หรือการดึงข้อมูลจากเว็บไซต์โดยอัตโนมัติ
ในที่นี้ เราจะใช้ไลบรารีภายนอก (เครื่องมือที่มีประโยชน์) `requests` ใช้สำหรับดึงข้อมูลจากเว็บไซต์ และ `BeautifulSoup4` เป็นไลบรารีสำหรับสกัดข้อมูลที่ต้องการจาก HTML ที่ดึงมาได้
ก่อนอื่น มาติดตั้งไลบรารีเหล่านี้ในสภาพแวดล้อมเสมือนของเรากันก่อน รันคำสั่งต่อไปนี้ใน Terminal ครับ `pip` คือเครื่องมือสำหรับจัดการไลบรารีของ Python
pip install requests beautifulsoup4
เมื่อการติดตั้งเสร็จสมบูรณ์ ให้สร้างไฟล์ใหม่ชื่อ `get_title.py` แล้ววางโค้ดต่อไปนี้ลงไป โค้ดนี้จะเข้าไปที่หน้าแรกของ Yahoo! JAPAN แล้วดึงชื่อเรื่องของหน้าเว็บ (เนื้อหาในแท็ก `<title>`) มาแสดงผล
import requests
from bs4 import BeautifulSoup
# URL ของเว็บไซต์ที่ต้องการดึงข้อมูล
url = "https://www.yahoo.co.jp/"
# เข้าถึง URL และดึงข้อมูล HTML
response = requests.get(url)
response.encoding = response.apparent_encoding # ป้องกันปัญหาการแสดงผลตัวอักษรเพี้ยน
# แยกวิเคราะห์ HTML ด้วย BeautifulSoup
soup = BeautifulSoup(response.text, 'html.parser')
# ค้นหาแท็ก title และแสดงข้อความข้างใน
print(soup.title.string)
ลองรันใน Terminal เหมือนกับตอนที่รัน `hello.py` ดูครับ
python get_title.py
หากทุกอย่างเป็นไปด้วยดี ชื่อเรื่องของเว็บไซต์ Yahoo! JAPAN ณ เวลาที่รันโค้ดควรจะแสดงขึ้นมา (เนื้อหาที่แสดงอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับช่วงเวลา)
Yahoo! JAPAN
ด้วยโค้ดเพียงไม่กี่บรรทัด เราก็สามารถดึงข้อมูลจากเว็บไซต์ได้โดยอัตโนมัติ หากนำไปประยุกต์ใช้ เราจะสามารถสร้างเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของเว็บครีเอเตอร์ได้โดยตรง เช่น การรวบรวมข้อมูลจากหลายๆ เว็บไซต์เป็นประจำ หรือการสกัดเฉพาะข่าวที่มีคีย์เวิร์ดที่ต้องการ
ข้อควรระวังและเคล็ดลับ
สุดท้ายนี้ ขอแนะนำประเด็นที่มือใหม่มักจะพลาด และเคล็ดลับบางอย่างที่ควรรู้ไว้
- ความสำคัญของการตั้งค่า PATH: ตัวเลือก “Add Python to PATH” ที่กล่าวถึงตอนติดตั้งบน Windows นั้นสำคัญมากจริงๆ หากคุณลืมติ๊ก วิธีที่เร็วที่สุดคือถอนการติดตั้งแล้วติดตั้งใหม่อีกครั้งโดยไม่ลืมติ๊กช่องนี้
- ความแตกต่างระหว่าง Python 2 และ 3: เวลาค้นหาข้อมูลบนเว็บ คุณอาจจะเจอโค้ดที่เป็นของ Python 2 รุ่นเก่า ถ้าเจอโค้ดที่เขียน `print "Hello"` โดยไม่มีวงเล็บ นั่นคือโค้ดของ Python 2 ปัจจุบันการใช้ Python 3 เป็นเรื่องปกติแล้ว ดังนั้นพยายามอย่าสับสนกับข้อมูลเก่านะครับ
- ใช้สภาพแวดล้อมเสมือนเสมอ: แม้ว่าคุณจะคุ้นเคยกับการพัฒนามากขึ้นแล้ว ขอให้สร้างนิสัยในการใช้สภาพแวดล้อมเสมือนต่อไป หากคุณเริ่มติดตั้งไลบรารีในสภาพแวดล้อมหลัก (Global Environment) ของเครื่องโดยคิดว่า “แค่ลองนิดหน่อยเอง...” ไม่นานสภาพแวดล้อมของคุณก็จะรกรุงรังและคุณจะต้องมาเสียใจทีหลังแน่นอน ยิ่งเวลาจะลองอะไรใหม่ๆ ยิ่งต้องใช้สภาพแวดล้อมเสมือนใหม่
- การจัดการไลบรารี: การใช้คำสั่ง `pip freeze > requirements.txt` จะช่วยให้คุณสามารถส่งออกรายชื่อไลบรารีที่ติดตั้งในสภาพแวดล้อมเสมือนนั้นๆ ไปยังไฟล์ได้ หากคุณแชร์ไฟล์นี้กับคนอื่น พวกเขาก็สามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมือนกันทุกประการได้ด้วยคำสั่งเดียวคือ `pip install -r requirements.txt` ซึ่งเป็นเทคนิคที่จำเป็นสำหรับการพัฒนาเป็นทีม
สรุป
ทำได้ดีมากครับ! หากคุณทำตามขั้นตอนในบทความนี้มาโดยตลอด ตอนนี้บนคอมพิวเตอร์ของคุณก็ควรจะมีสภาพแวดล้อมการพัฒนาที่ดีที่สุดสำหรับ Python พร้อมใช้งานแล้ว
คุณได้ติดตั้ง Python, สร้างสภาพแวดล้อมเสมือน, รันโปรแกรม “Hello, World!” ด้วย VS Code และยังได้ลองสัมผัสกับการทำ Web Scraping เบื้องต้นอีกด้วย ขอให้เก็บความรู้สึก “มันทำงานได้!” นี้ไว้ แล้วก้าวไปสู่ขั้นตอนต่อไปกันเลย
นอกจากการทำ Web Scraping ที่แนะนำไปในครั้งนี้ การใช้ Python ยังสามารถช่วยแก้ปัญหา “ความยุ่งยาก” ต่างๆ ในงานประจำวันของเว็บครีเอเตอร์ได้อีกมากมาย เช่น การทำงานกับไฟล์ Excel อัตโนมัติ, การปรับขนาดรูปภาพอัตโนมัติ หรือการเปลี่ยนชื่อไฟล์ที่น่าเบื่อ นอกจากนี้ หากเรียนรู้เฟรมเวิร์กอย่าง Flask หรือ Django การสร้างเว็บแอปพลิเคชันเต็มรูปแบบด้วยตัวเองก็ไม่ใช่ความฝันอีกต่อไป
หวังว่าบทความนี้จะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยขยายขอบเขตกิจกรรมสร้างสรรค์ของคุณนะครับ Happy Coding!